วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

ครังที่ 14

 วันจันทร์ ที่16 กันยายน 2556

เวลา8.30-12.20

**วันนี้อาจารย์ตฤณ สอนการเขียนแผน

เรื่อง การทำอาหาร (Cooking) อาจารย์ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่ม ออกเป็น 6 กลุ่มแพื่อช่วยกันเขียนแผน



ภาพการทำแผน/นำเสนอแผน






เรียนชดเชด

 วันอาทิตย์ ที่15 กันยายน 2556

เวลา8.30-12.20

อาจารย์ให้เก็บตกงานทุกชิ้นใครยังไม่นำเสนองานให้ออกมานำเสนอ

 **นำเสนอของเล่นเข้ามุม

1 นิทานเคลื่อนที่   ใช้แม่เหล็กในการเคลื่อนไหวสัตว์-บูรณาการด้านภาษา
2 กล่องสเปกตัม หรือ กล่องสีน่าค้นหา  ส่องกล่องแล้วแสงจะกระทบกับของที่อยูข้างในจึงทำให้เรามองเห็นสีแสงกระทบกับสีทำให้เห็นสี 7 สี
3 รถลงหลุม  
4 ลิงห้อยโหน  (กลุ่มดิฉัน) หลักการคือ ถ้าจุดหมุนห่างมากจะเกิดความเอียงมาก แต่ถ้าจุดหมุมห่างน้อยก็จะเอียงน้อย
5 ซูโมกระดาษ  หลักการคือ เกิดจากไม้ไอติมกระทบกับกล่องจึงทำให้วัตถุเคลื่อนไหว
6 กระดาษเปลี่ยนสี  หลักการคือ  เกิดจากการหักเหของแสงผ่านแม่สี 3 สี จึงทำให้เรามองเห็นอีกสีหนึ่ง
7 สัตว์โลกน่รัก การกำเนิดของสัตว์หรือวงจรของสัตว์
8 กล่องสัตว์ 

**นำเสนอของเล่น
**นำเสนอการทอดลอง
1 กระดาษร้องเพลง
2 กระป๋องผิวปาก
3 กรวยลูกโป่ง
4 กิ้งก่าไต่เชื่อก
5 กระป๋องบูมมะแลง

1 กาลักน้ำ หลักการคือโมเลกุลแรงดันของเหลวไหลจากที่สูกลงมาที่ต่ำ
2 ตะเกียบดูดขวด หลักการ ที่เรายกขวดได้เพราะมีแรงดันภายในขวดจึงทำให้เรายกขวดข้าวด้วยตะเกียบได้ที่เรายกได้
           1 ยกไม่ได้เพราะข้าวในขวดมันหลวมจึงทำให้ยกขวดไม่ได้
           2 ที่ยกได้เพราะมีการกดข้าวให้แน่นในขวดจึงมีความหนาแน่นและทำให้ยกขวดได้
3 ดอกไม้บาน  หลัการคือ เพราะกระดาษมีการดูดซึมน้ำจึงทำให้กระดาษดอกไม้บาน

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

ครั้งที่13 

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน 2556

เวลา  8.30-12.20

* อาจารย์ติดธุระ (ไปสัมมนาที่จังหวัดสระบุรี)


**มาเรียนชดเชยในวันอาทิตย์ที่15 กันยายน 2556 เวลา8.30 

ค้นคว้าเพิ่มเติม

การเล่นกับการพัฒนาสมองลูกน้อย 




สมองของคนเรามีอยู่ 2 ซีก ซีกขวา และซีกซ้าย ซีกขวาจะควบคุมการทำงานของร่างกายซีกซ้าย และสมองซีกซ้ายจะควบคุมการทำงานของร่ายการซีกขวา สมองทั้ง 2 ซีก จะมีใยประสาทจำนวนมากเชื่อมอยู่เพื่อให้สมองทั้ง 2 ส่วนรับรู้การทำงานซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น สมองแต่ละซีกจะมีการทำงานที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัด โดยที่สมองทางซีกซ้าย เป็นส่วนที่ควบคุมการคิด และมีการทำงานที่ออกมาเป็นนามธรรม เช่น การนับจำนวนเลข, การบอกเวลา, การสรรหาถ้อยคำ, การหาเหตุผล เป็นต้น

 ส่วนสมองซีกขวาจะทำหน้าที่จินตนาการ, ฝัน, สร้างสรรค์ความคิดใหม่, การซึมซาบในดนตรีและศิลปะ เป็นต้น ดังนั้นการที่คนเราสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้นั้น เกิดจากการทำงานของสมองซีกขวานี้เอง เมื่อสมองซีกขวาทำงาน สมองซีกซ้ายจะรับหน้าที่แสดงผลการทำงานออกมาให้คนอื่นเห็น สิ่งที่สมองทั้งสองส่วนเหมือนกัน คือ การรับรู้ความเป็นไปของโลกภายนอกผ่านอวัยวะรับรู้ทางประสาทชุดเดียวกัน แต่สมองทั้งสองส่วนทำงานแตกต่างกันมาก คือในขณะที่สมองซีกซ้ายกำลังทำหน้าที่พูดคุย ใช้เหตุผลต่างๆ  สมองซีกขวากำลังทำหน้าที่คิดจินตนาการต่างๆ โดยไม่มีการคำนึงถึงกาลเวลา อย่างไรก็ตาม สมองทั้ง 2 ซีก ควรได้รับการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน ปัจจุบันสามารถกล่าวได้ว่าการศึกษาส่วนใหญ่ที่จัดให้กับเด็กในทุกวันนี้  มักจะมุ่งไปในการพัฒนาสมองซีกซ้ายเป็นส่วนใหญ่ โดยการศึกษาในปัจจุบันเด็กต้องท่องจำ คิดเลข
 เรียนรู้ทางภาษา ระเบียบ กฎเกณฑ์ การวิเคราะห์ข้อมูล อันเป็นหน้าที่ของสมองซีกซ้ายทั้งนั้น ขณะที่สมองทางซีกขวาไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร

การศึกษาส่วนใหญ่ยังเน้นการที่ครูเป็นศูนย์กลาง คำตอบที่ถูกต้องต้องมาจากครู หรือจากหนังสือเรียนเท่านั้น โดยไม่เปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนได้มีโอกาสคิดหาคำตอบที่แตกต่างไปจากคำตอบเหล่านี้  การเรียนแบบนี้เองเป็นการปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ทำให้เด็กเกิดความกลัวในการคิดหาคำตอบใหม่ๆ ทั้งๆ ที่คำตอบนั้นอาจเป็นคำตอบที่ถูกต้องก็ได้ ในสภาพการเรียนรู้การสอนแบบนี้
สมองซีกขวาของเด็กอาจจะถูกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง
เด็กในช่วงอายุ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปี เป็นวัยแห่งการคิดฝันจินตนาการ ดังนั้นสมองส่วนที่มีความสำคัญในวัยนี้ จะเป็นสมองซีกขวาเป็นส่วนใหญ่ เด็กในวัยนี้ควรจะได้รับการกระตุ้นให้สมองซีกขวาได้พัฒนาอย่างเต็มที่ โ่ดยการส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ความคิด
 จินตนาการของเด็กเอง โดยการพัฒนาสมองทั้ง 2 ซีกไปพร้อมกันและเท่าเทียมกัน โดยให้มีการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาจากระบบที่เป็นอยู่ เป็นระบบที่ให้เด็กมีอิสระในการคิดการหาคำตอบมาขึ้น การพัฒนาสมองซีกขวาอาจทำได้โดยการสอนให้เด็กได้มีกิจกรรมที่เกี่ยวกับการคิดการจินตนาการ เช่น การเล่านิทาน การแสดงละคร การเล่นเกมส์ เล่นกีฬา ดนตรี และศิลปะ เป็นต้น

ผลจากการวิจัยจำนวนมากได้แสดงให้เห็นว่า เมื่อเด็กในวัยนี้ถูกกีดกันจากนวนิยาย นิทานแล้วเด็กจะกลายเป็นคนที่มีจิตใจไม่มั่นคง อ่อนไหวง่าย เพราะการฟังนิทานนั้นเด็กสามารถใช้จินตนาการอย่างเต็มที่ และนิทานจะทำหน้าที่คล้ายๆ กับความฝันของเด็กๆ
 ที่จะช่วยระบายความเก็บกดต่างๆ ในใจ ที่เด็กไม่สามารถได้รับการตอบสนองในชีวิตจริง ดังนั้น ความรู้ทางวิชาการทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็นทาง วิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือศีลธรรม สามารถสอนเด็กได้โดยอาศัยสื่อการสอนที่ชวนคิด ชวนฝัน พวกเด็กๆ จะสามารถเข้าใจความรู้ต่างๆ ได้ดีขึ้น  ถ้าสามารถจินตนาการออกมาเป็นเรื่องราวได้ นอกจากการสร้างพัฒนาการทางสมองโดยใช้การเล่านิทานแล้ว การเล่นต่างๆ ที่สมวัยก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะสามารถส่งเสริมการพัฒนาทางสมองซีกซ้ายของเด็กในวัยแรกเกิดจนถึง 6 ปีได้

การเล่นกับเด็ก ต้องจำไว้เสมอว่าเด็กแต่ละคนนั้นมีความเป็นตัวของตัวเอง มีความชอบหรือไม่ชอบในสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การที่จะบอกว่า การเล่นแบบใด หรือของเล่นชนิดใดเหมาะกับเด็กในวัยนี้ มักจะเป็นไปไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่ เป็นผู้ที่จะมีความสำคัญมากในการสรรหาของเล่นที่เหมาะกับลูกของตนและที่ลูกของตนชอบ โดยการสังเกตดูว่า เด็กชอบเล่นอะไร มีความถนัดในด้านใด จากการแสดงออกของเด็กเอง
 พ่อแม่ต้องมีจินตนาการในการคิดหาวิธีในการเล่นกับลูก โดยกิจกรรมหรือของเล่นนั้นเน้นที่ความสนุกสนานและต้องเหมาะสมกับวัยของเด็ก ไม่ยากเกินไป หรือง่ายเกินไป การที่เล่นของเล่นที่ยากเกินความสามารถของเด็กจะทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่ายง่าย และมีผลต่อเด็กเหมือนกับว่าเด็กไม่สามารถทำงานให้สำเร็จได้


 เมื่อโตขึ้นก็จะไม่มั่นใจในตนเองในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ส่วนถ้ากิจกรรมหรือของเล่นที่ง่ายเกินไป ก็จะไม่พัฒนาความสามารถทางการคิดจินตนาการของเด็กเลย คำถามที่ว่าต้องเล่นกับเด็กนานเท่าใดในแต่ละกิจกรรมนั้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ยากแก่การหาคำตอบที่ตายตัว เพราะต้องอาศัยดูจากตัวเด็กเอง ถ้ากิจกรรมสนุกสนานและเด็กชอบที่จะเล่นแล้ว เด็กจะเล่นได้นานโดยไม่เบื่อ แต่ถ้ากิจกรรมที่เล่นหรือของเล่นนั้นยากเกินไป เด็กก็จะเล่นได้ในระยะเวลาสั้นๆและเลิกสนใจในกิจกรรมนั้นไป
 ดังนั้นผู้ที่เป็นพ่อแม่ต้องสังเกตลูกของตนให้ดี ถ้าเด็กเบื่อในกิจกรรมที่กระทำอยู่ ก็จำเป็นที่จะต้องหากิจกรรมหรือของเล่นใหม่

สรุปได้ว่า พ่อแม่มีหน้าที่ที่จะส่งเสริมให้ลูกของตนได้รับการพัฒนาสมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวาไปอย่างเท่าเทียมกัน
โดยการเล่นของเล่นหรือหากิจกรรมต่างๆ มาเล่นกับลูกของตน เน้นที่ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน
อย่าทำให้ลูกมีความรู้สึกเหมือนถูกบังคับ รวมทั้งพ่อแม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกของตน
 โดยทำตัวให้เหมือนกับที่ตนได้สั่งสอนลูก เด็กจะสามารถพัฒนาความสามารถทางสมองของเขาเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 และจะกลายเป็นเด็กที่มีความมั่นคงทางจิตใจ มีความมั่นคงในตนเอง มีเหตุมีผลในเรื่องต่างๆ และที่สำคัญเด็กจะเป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

พัฒนาการของเด็กในแต่ละวัย อาจจะสรุปได้คร่าวๆ ดังนี้

วัยทารก 0 - 2 ปี
  • 5 เดือน จะสามารถนั่งได้ตรง ถ้าจับนั่งในท่านั่ง
  • 6 เดือน จับ / กำ ลูกสี่เหลี่ยมได้
  • 1 ปี ยืนและเดินได้ประมาณ 2 - 3 ก้าว เริ่มจะพูดได้
  • 1 - 2 ปี เริ่มพูดเป็นคำสั้นๆ รู้จักชื่อตัวเอง
วัยเยาว์ 2 - 3 ปี : วัยแห่งการเรียนรู้
  • เดินถอยหลังได้
  • เตะลูกบอลได้ 
  • เริ่มที่จะป่ายปีนเฟอร์นิเจอร์ และถีบจักรยาน 3 ล้อได้ 
  • ใช้กรรไกรได้ 
  • ย่างเข้า 3 ปี จะเริ่มใช้ดินสอ และวาดภาพได้ 
  • ใช้ช้อนและส้อมได้
3 - 4 ปี : วัยแห่งความปราดเปรียว
  •  ใช้กรรไกรตัดได้ในแนวตรง 
  • สามารถจับ / ขว้าง / เตะลูกบอล 
  • เริ่มที่จะวาดกากบาท และเขียนตัวอักษรบางตัว 
  • เริ่มที่จะวาดรูปคน มีหัว ตัว แขนและขา 
4 - 6 ปี : เตรียมพร้อมสู่การเข้าโรงเรียน
  • มีความสุขุมมากขึ้น 
  • สามารถจะช่วยทำงานบ้านได้ 
  • เริ่มรู้จักสี และเขียนตัวอักษรได้ 
  • แต่งตัวด้วยตนเองได้อย่างเรียบร้อย 
  • เริ่มรู้จักการเข้าสังคม
     

ครั้งที่12 วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2556

เวลา  8.30-12.20

นำเสนองานวิทยาศาสตร์ของเล่นเข้ามุม

ชื่อสื่อ ลิงห้อยโหน

ลิงห้อยโหน  (กลุ่มดิฉัน) หลักการคือ ถ้าจุดหมุนห่างมากจะเกิดความเอียงมาก แต่ถ้าจุดหมุมห่างน้อยก็จะเอียงน้อย

ภาพการทำสื่อการทำสื่อ


วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

ครั้งที่11 

วันจันทร์ที่ 26 ก 2556

เวลา 8.30-12.20

              


  อ.จารย์ติดธูระ เนื่องจากคณะศึกษาสตร์ มาหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมมีงาน